หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์สตาร์ท
ไดสตาร์ท หรือ มอเตอร์สตาร์ท
![](https://localhost/motorstarter/images/011-525.jpg)
ที่มา : http://static.weloveshopping.com/shop/client/000061/kkkautopart/011-525.jpg
มอเตอร์สตาร์ทคือ
เป็นมอเตอร์ต้นกำลังเพื่อฉุดให้เครื่องยนต์ติดตอนเวลาสตาร์ทรถยนต์
โดยการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นพลังงานกลในการหมุนล้อช่วยแรงหรือไฟวิน
เพื่อทำให้ลูกสูบขยับจนเข้าไปสู่กระบวนการจุดระเบิดต่อไป
หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์สตาร์ท
มอเตอร์สตาร์ท
เครื่องยนต์แก๊สโซลีนและเครื่องยนต์ดีเซลไม่สามารถติดเครื่องได้ด้วยตัวเอง
เครื่องยนต์จะหมุนได้ด้วยการใช้มือหมุน การใช้เชือกดึง
และปัจจุบันใช้มอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับสวิตช์แม่เหล็กเพื่อเลื่อนเฟืองขับ
เข้าไปขบกับล้อช่วยแรงหมุนให้เครื่องยนต์ติดได้ซึ่งเรียกว่ามอเตอร์สตาร์ท
มอเตอร์สตาร์ทเป็นอุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล
มอเตอร์สตาร์ททำหน้าที่หมุนเครื่องยนต์ให้เกิดความเร็วจนครบวัฎจักร
การทำงานของเครื่องยนต์จนเครื่องยนต์ติดได้
ความเร็วในการหมุนที่พอจะทำให้เครื่องยนต์ติดได้ขึ้นอยู่กับขนาด แบบของเครื่องยนต์
และสภาพการทำงาน เครื่องยนต์แก๊สโซลีนใช้ความเร็วประมาณ 40 ถึง 60 รอบต่อนาที
และเครื่องยนต์ดีเซลใช้ความเร็วประมาณ 80 ถึง 100 รอบต่อนาที รูปที่ 1.1 เป็นภาพตัดแสดงโครงสร้างของมอเตอร์สตาร์ท
รูปที่ 1.1 ภาพตัดแสดงโครงสร้างของมอเตอร์สตาร์ท
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์สตาร์ท
จากกฎสกรูเกลียวขวาของแอมแปร์
เมื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในเส้นลวดตัวนำ สนามแม่เหล็กรอบๆ
เส้นลวดตัวนำจะเกิดขึ้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกาดังรูปที่ 1.2
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%952.jpg)
รูปที่ 1.2 เปรียบเทียบเส้นแรงแม่เหล็กกับกฎสกรูเกลียวขวา
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
เมื่อให้เส้นลวดตัวนำทางไฟฟ้าอยู่ในระหว่างขั้วแม่เหล็ก N และ S จะมีเส้นแรงแม่เหล็ก 2 ชุด
ชุดที่หนึ่งเกิดจากเส้นแรงแม่เหล็กรอบๆ ตัวนำ อีกชุดหนึ่งเกิดจากการไหลของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่าง
ขั้ว N และ S จะเกิดเส้นแรงแม่เหล็กที่ทิศทางต่างกันและทิศทางตามกัน
ด้านที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ทิศทางต่างกัน เส้นแรงแม่เหล็กก็จะหักล้างกัน
ทำให้เส้นแรงแม่เหล็กด้านนั้นอ่อนลง ส่วนด้านที่มีทิศทางตามกัน ก็จะมีความเข้มของเส้นแรงแม่เหล็กมากขึ้น
ทำให้เกิดการผลักดันเกิดขึ้นดังรูปที่ 1.3
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%953.jpg)
รูปที่ 1.3
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
การหาทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็ก ทิศทางของกระแสไฟฟ้า และทิศทางของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า หาได้จากกฎมือซ้ายของแฟรมมิ่งดังรูปที่ 1.4
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.jpg)
รูปที่ 1.4 แสดงกฎมือซ้ายของแฟรมมิ่ง
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
เมื่อต้องงอเส้นลวดตัวนำเป็นรูปตัวยูและให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าเส้นลวดตัวนำทางด้านขวามือ
( x แสดงว่ากระแสไฟฟ้าไหลเข้าขดลวดตัวนำ ๏
แสดงว่ากระแสไฟฟ้าไหลออกจากตัวนำ) จะเห็นได้ว่าเส้นแรงแม่เหล็กรอบๆ
ตัวนำจะเปลี่ยนทิศทางตามเข็มนาฬิกาเป็นทวนเข็มนาฬิกาดังรูปที่ 1.5
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81.jpg)
รูปที่ 1.5 ทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็กรอบๆ เส้นลวดตัวนำ
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
เมื่อนำเส้นลวดตัวนำรูปตัวยูนี้ไปสอดไว้ระหว่างขั้วแม่เหล็ก N และ S ก็จะทำให้เส้นแรงแม่เหล็กเกิดการหักล้างกัน
โดยเส้นลวดตัวนำทางด้านขวามือของเส้นแรงแม่เหล็กทางด้านบนจะเข้มมากกว่าทาง
ด้านล่าง และเส้นลวดตัวนำทางด้านซ้ายมือของเส้นแรงแม่เหล็กทางด้านล่างจะเข้มกว่าทางด้านบน
ทำให้เส้นลวดตัวนำเกิดการเคลื่อนที่ในทิศทางตามเข็มนาฬิกาดังรูปที่ 1.6
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B3.jpg)
รูปที่ 1.6 เส้นลวดตัวนำเคลื่อนที่ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
มีการใช้คอมมิวเทเตอร์กับปลายขดลวดทั้งสองซึ่งเมื่อขดลวดตัวนำหมุนเปลี่ยนด้านกัน
กระแสไฟฟ้า ก็ยังไหลเข้าเส้นลวดตัวนำไปทิศทางเดิม
ทำให้ทิศทางการหมุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องในทิศทางเดียวกันตลอดเวลา
ในมอเตอร์สตาร์ตจะมีการออกแบบขดลวดอาร์มาเจอร์และขดลวดฟิลด์คอยล์หลายแบบ
ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือให้มอเตอร์สตาร์ททำงานหมุนอย่างต่อเนื่องด้วยแรงบิดที่สูงและความเร็วรอบคงที่อย่างเหมาะสม
มอเตอร์สตาร์ทมีการต่อวงจรภายใน 3 แบบคือ
แบบอนุกรม แบบขนาน และแบบผสม รูปที่ 1.7 แสดงมอเตอร์สตาร์ทพื้นฐานแบบอนุกรม
และรูปที่ 1.8 แสดงวงจรของมอเตอร์สตาร์ททั้ง 3 แบบ
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95.jpg)
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
![](https://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%951.jpg)
รูปที่ 1.8 วงจรภายในของมอเตอร์สตาร์ท
ที่มา : http://www.auto2drive.com/wp-content/uploads/2013/05
อ้างอิง : http://www.auto2drive.com/มอเตอร์สตาร์ต/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น