ไดชาร์จ (Alternator)

ไดชาร์จ (Alternator)

ไดชาร์จ



         ไดชาร์จ (Alternator) : หน้าที่ของไดชาร์จ คนส่วนใหญ่คิดว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมดใช้ไฟจากแบตเตอรี่  ไม่ว่าจะติดเครื่องยนต์ หรือไม่ได้ติดเครื่องยนต์ แล้วไดชาร์จมีหน้าที่เติมไฟ หรือชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ซึ่งความเข้าใจแบบนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ที่ถูกต้องคือ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าในรถยนต์ทั้งหมดจะใช้ไฟจากไดชาร์จไดชาร์จไม่ได้มีหน้าที่ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรง แต่ที่ไดชาร์จสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้เพราะว่าแรงดันไฟที่ไดชาร์จผลิตออกมาได้นั้นมีค่าสูงกว่าแรงดันไฟที่แบตเตอรี่มี จึงทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟศักย์สูงไปยังกระแสไฟศักย์ต่ำ และสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดแบบนั้นก็เพราะว่าเราคนไทยเรียกมันว่า " ไดชาร์จ " ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อของไดชาร์จคือ " อัลเทอร์เนเตอร์ " ซึ่งแปลว่า เครื่องปั่นไฟ โดยปกติที่รอบเดินเบาของเครื่องยนต์แรงดันไดชาร์จขณะเปิดโหลดจะอยู่ที่ 13.9V – 14.5V โหลดในที่นี้จะมีอยู่ 2 อย่าง คือ แอร์และไฟหน้า เพราะฉะนั้นในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในรถยนต์จะใช้ไฟจากไดชาร์จ (อัลเทอร์เนเตอร์) เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์อย่างที่เคยเข้าใจกันมา สังเกตได้จากรถรุ่นเก่าๆ สมัยก่อน เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วสามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้
สัญญาณไดชาร์จเสื่อม :  รอบเดินเบา, ความสว่างของไฟหน้าลดลง, ระดับความเย็นแอร์ลดน้อยลง ถ้าหากไดชาร์จเสีย จะทำให้ไม่มีไฟฟ้าออกมาใช้ในรถ รถจะไม่มีไฟใช้ ทำให้เครื่องหยุดเดิน(ดับ) และไม่สามารถขับต่อได้

ข้อควรระวังเกี่ยวกับไดชาร์จ


                ปกติแล้วเมื่อไดชาร์จเสีย มันจะน่ากลัวอย่าง คือ ไปแล้วไปเลยเราดูด้วยตาเปล่าไม่ออกแน่นอน แต่มันก็จะมีสัญญาณที่ส่งออกมาว่าไดชาร์จจะไปบ้านแล้ว ก็คือ ไฟในรถเริ่มอ่อนลงเช่น ไฟหน้าเริ่มหรี่ แอร์เริ่มเย็นน้อยลง (ในสภาวะปกติ) พูดง่ายๆ คือ ไฟเหี่ยวทั้งคันนั่นแหละ บางทีจะมีอาการ ความร้อนขึ้นเพราะพัดลมไฟฟ้าหมุนไม่แรงพอ เครื่องเริ่มเร่งแย่ลง สังเกตง่ายๆ  ถ้ารอบเดินเบามีอาการไฟเหี่ยว ต้องเร่งเครื่อง ไฟถึงจะชาร์จมากขึ้น มีอาการวูบๆ วาบๆ ก็ควรจะตรวจเช็คไดชาร์จ และระบบไฟโดยรวมได้แล้ว ถ้าไดชาร์จไม่พอ หรือเสีย ไม่ชาร์จเลย จะมีไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นที่หน้าปัด ถ้าเจอมันโชว์ก็แสดงว่าไปบ้านแล้ว ควรจะรีบนำรถเข้าเช็ค พยายามปิดอุปกรณ์กินไฟต่างๆ เช่น แอร์ เพื่อเซฟไฟให้พอใช้ในการขับไปซ่อม แต่ถ้าไดชาร์จเสียจริงๆ รถจะวิ่งได้อีกสักพัก จนไฟหมดแล้ว รถจะหยุด อันนี้ควรจะต้องระวังให้มาก ส่วนการเช็ดไดชาร์จนั้น ทางร้านไฟจะต่อ แอมป์มิเตอร์ถ้าเข็มชี้มาทางด้าน ลบแสดงว่าไฟชาร์จไม่พอ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้ามันชี้ไปทาง บวกแสดงว่ายังมีสุขภาพดี ยังไงพวกเราพอมีความรู้เรื่องรถ ก็ดูการตรวจเช็คของช่างด้วย จะได้รู้ว่ามันปกติดีหรือไม่ ส่วนรถที่มีเกจ์วัด Voltage จะยิ่งชัดเจนครับ ปกติจะต้องอยู่ประมาณ 13-14V แต่ถ้าต่ำกว่านั้น แสดงว่าชาร์จไม่พอ ก็นับว่าโชคดีที่รู้ทันก่อน ก็เป็นข้อดีของเกจ์วัด Voltage ที่ติดตั้งเพิ่ม
             อีกประการ คือ ไฟชาร์จเกินกำหนด” (Over Charge) อันนี้จะมีอาการ ไฟแรงผิดปกติไฟหน้าสว่างขึ้น ไฟหน้าปัดสว่างวาบหยั่งกะหน้าปัดเรืองแสง แอร์แรงขึ้น ฯลฯ เป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่จริงๆ แล้ว ส่งผลร้ายต่อระบบไฟการชาร์จเกินกำหนด ไฟแรงจริง แต่เมื่อ Voltage มันเกินปกติ ไฟในรถจะ 12V ไดชาร์จก็ปั่นกระแส 13-14V จึงจะสามารถชาร์จไฟเข้าระบบได้ นั่นเป็นค่าปกติ แต่ถ้ามันล่อไป 16 V ขึ้นไป อันนี้จะทำให้ระบบไฟในรถมีปัญหาได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกกล่อง ECU และอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนต่างๆ จะ เสียหายหรือ วงจรไหม้ได้ หากปล่อยให้มันชาร์จเกินนานๆ โดยไม่แก้ไข ต้องระวังนะ ส่วนที่ทำให้ชาร์จเกินนั้น จะมาจาก ตัว Cutout ที่ไดชาร์จเสียหน้าที่ของ Cutout หรือ Voltage Regulator คือ คอยตัดกระแสไฟส่วนเกินไดชาร์จไม่ได้ชาร์จตลอด เมื่อไฟเต็มตามที่กำหนดแล้ว Cutout จะตัดการชาร์จไฟ เพื่อไม่ให้ชาร์จเกินกว่ากำหนดนั่นเอง

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ส่วนประกอบของมอเตอร์สตาร์ท

การถอดประกอบมอเตอร์สตาร์ท

หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์สตาร์ท